วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เดินทางต่างประเทศ ครั้งแรก ทำไงดี!!

เดินทางต่างประเทศ ครั้งแรก ทำไงดี!!         
   
            การเดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินครั้งแรก อาจทำให้หลายๆท่านตื่นเต้น กลัวทำไม่ถูกขั้นตอน กลัวตกเครื่องต่างๆนานา แต่ขอให้ทุกท่านคลายกังวลได้เลยค่ะ เนื่องจากการเดินทางด้วยเครื่องบินไม่ได้ยากอย่างที่คิด อย่างแรกเราต้องเตรียมเอกสารการเดินทางให้พร้อม ได้แก่ พาสสปอร์ต ,วีซ่า,ตั๋วเครื่องบิน และสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างคือ ชื่อ และเบอร์โทรของคนที่จะมารับเมื่อถึงปลายทาง

เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เรามาเริ่มเดินทางกันเลย
สายการบินเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีเพียงไม่กี่สายที่จะขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง แต่เพื่อความไม่ประมาท ควรตรวจสอบตั๋วเครื่องบินให้ดีว่า ท่านขึ้นเครื่องที่ไหนจะได้ไม่เสียเวลา และอาจจะมีผลทำให้ตกเครื่องได้

เช็คอิน

             เมื่อเดินทางถึงสนามบินก็เริ่มเช็คอินกันได้เลย โดยระยะเวลาการเช็คอินไปต่างประเทศต้องไม่น้อยกว่า 2 ชม. เดินทางตรงไปที่หน้าเคาเตอร์สายการบินที่เราได้ทำการจองตั๋วไว้ เข้าแถวตาม class ที่ได้จองไว้ เช่น Economy Class ,Bissiness Class หรือ Frist Class เป็นต้น นำเอกสารการเดินทางมาเตรียมพร้อม จากนั้นเจ้าหน้าที่เค้าจะเช็คอินให้ หากมีกระเป๋าโหลดใต้เครื่องก็สามารถโหลดได้ที่ตรงนี้เลย ส่วนกระเป๋าถือสามาถถือติดตัวขึ้นเครื่องได้ กระเป๋าถือขึ้นเครื่องไม่ควรเกิน 7 กก. และไม่ควรมีของเหลวหรือของมีคมทุกชนิด หากเผลอนำติดตัวไป จะต้องถูกยึดและทิ้งไว้ที่สนามบิน


Boarding Pass 

             เช็คอินเสร็จ เจ้าหน้าที่จะให้ Boarding Pass  กับผู้เดินทาง ซึ่งจะระบุรายละเอียดการเดินทางสำหรับ Flight ที่กำลังจะขึ้นไว้ให้ ได้แก่ วันเดินทาง , ต้นทาง , ปลายทาง , Flight  , Class Gate , เวลาขึ้นเครื่อง ,เลขที่ตั๋ว ,ที่นั่ง เป็นต้น

Thai Immigration Bureau/ บัตรขาออก

            เราสามารถขอบัตรขาออกได้ที่หน้าเคาเตอร์เช็คอิน เพื่อกรอกข้อมูลในการเดินทางของเรา รายละเอียดในบัตรขาออก ได้แก่ ชื่อสกุลผู้เดินทาง,วันเดือนปีเกิด,เพศ,สัญชาติ,เลขที่พาสสปอร์ต ฯลฯ ซึ่งใบ Immigration นี้จะมี 2 หน้า ท่านจะต้องกรอกให้ครบทั้ง 2 หน้า  เมื่อกรอกรายละเอียดเสร็จ ก็นำไปยื่นที่หน้าเคาเตอร์ โดยสิ่งที่ต้องยื่นก็คล้ายๆตอนเช็คอิน พาสสปอร์ต,วีซ่าและBoarding Pass  ให้กับเจ้าหน้าที่

ด่านรักษาความปลอดภัยขาออก
         
          หลังจากนั้นก็ถึงด่านรักษาความปลอดภัยขาออก ท่านต้องนำสิ่งของออกจากตัวได้แก่ หมวก,กระเป๋าสะพาย,กล้อง,โน็ตบุ๊ค,อุปกรณ์ต่างๆที่ถือมา,นาฬิกา ฯลฯ เป็นต้น วางใส่ตะกร้าที่ทางสายการบินจัดไว้ให้เพื่อนำผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ ส่วนตัวของท่านก็ต้องเดินผ่านประตูตรวจโลหะ และเดินไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจกับเครื่องตรวจโลหะอีกรอบ แล้วจึงกลับไปรับของในตะกร้าคืน สำหรับท่านที่สวมรองเท้าผ้าใบแน่นๆ อาจต้องเสียเวลาถอดและใส่กันหน่อยนะค่ะ เพราะต้องถอดวางใส่ตะกร้าเช่นกันค่ะ

ขึ้นเครื่อง

         เมื่อผ่านด่านต่างๆเรียบร้อยก็รอขึ้นเครื่องกันได้เลย โดยดูตาม Gate ใน Boarding Pass  ของท่าน หรือถ้าไม่ทราบก็นำ Boarding Pass  ไปถามพนักงานงานได้เลย

บนเครื่อง

        ทางสายการบินจะระบุที่นั่งให้กับลูกค้าที่ไม่ได้จองไว้ให้ตั้งแต่ที่หน้าเคาเตอร์เช็คอิน ท่านสามารถดูที่นั่งของท่านได้ตาม Boarding Pass  ไปนั่งตามนั้นได้เลย กระเป๋าที่ถือติดตัวสามารถนำไปเก็บไว้บนชั้นเก็บของเหนือศรีษะของท่านได้  จากนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัย และปิดอุกรณ์สื่อสารของท่านให้เรียบร้อย รอเครื่องออก
        หลังเครื่องออกไปได้สักระยะ ทางสายการบินจะเริ่มแจงอาหาร/ของว่าง น้ำผลไม้ น้ำชา กาแฟ ให้ท่านได้ทาน (สำหรับท่านที่ต้องทานอาหารเฉพาะควรจะแจ้งสายการบินหรือตัวแทนขายตั๋วก่อนเดินทางอย่างน้อย 3 วัน)
        บนเครื่องเจ้าหน้าที่จะแจกฟอร์มการเดินทางเข้าประเทศให้เราได้กรอกเพื่อนำไปยื่นที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองตอนลงเครื่อง

ลงเครื่อง

         ถึงจุดหมายปลายทางให้ท่านตรวจสอบสัมภาระที่ท่านนำมาให้เรียบร้อยก่อนลง เมื่อลงแล้วให้ท่านเตรียมเอกสารพาสสปอร์ต เอกสารเข้าเมืองต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็จะสามารถผ่านเพื่อไปยังจุดรับกระเป๋าได้

รับกระเป๋าเดินทาง

        ให้ท่านดูป้ายแจ้ง Flight ที่ตรงกับ Flight บิน ของท่าน เส้นทางตรงกับที่ท่านเดินทาง ก็ให้รอรับกระเป๋าของท่านที่สายพานนั้นได้เลย

ด่านรักษาความปลอดภัยขาเข้า

       เมื่อรับกระเป๋าเสร็จก็เดินไปที่ด่านรักษาความปลอดภัยขาเข้า ส่วนมากก็จะไม่ตรวจอะไรมาก เค้าจะดูแค่ของต้องหามเอาเข้าประเทศ แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็สามารถผ่านได้เลย

      สิ้นสุดการเดินทางกันแล้ว มองหาคนมารับกันได้เลย ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเดินทางนะค่ะ
ขอบคุณค่ะ








วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ตารางเทียบเวลาประเทศไทยกับต่างประเทศ

เทียบเวลาประเทศไทยกับต่างประเทศ
ประเทศ
เร็วกว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
ช้ากว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
Afghanistan (อัพกานิสถาน)

2 ชั่วโมงครึ่ง
Algeria(แอลจีเรีย)

6 ชั่วโมง
Angola(แองโกลา)

6 ชั่วโมง
Australia


  เมือง Adilade (อะดิเรส)
2 ชั่วโมงครึ่ง

 เมือง Canberra,
  Melbourne (แคนเบอร่า)
3 ชั่วโมง

  เมือง Perth (เพิร์ธ)
 1 ชั่วโมง

  เมือง Sydney (ซิดนีย์)
 3 ชั่วโมง

Austria (ออสเตรเลีย)

6 ชั่วโมง
Barrain (บาเรนห์)

4 ชั่วโมง
Bangladesh (บังกะลาเทศ)

1 ชั่วโมง
Belgium (เบลเยี่ยม)

 6 ชั่วโมง
Belize (เบลีซ)

13 ชั่วโมง
Brazil 


   เมือง  Brasilia (บราซิเลีย)

10 ชั่วโมง
   เมือง Rio de    Janeiro,Sao Paolo (รีโอ เดอจาร์เนโร)

10 ชั่วโมง
Canada


   เมือง Montreal , Toronto (มอนทริออล)

12 ชั่วโมง
   เมือง Vancouver (แวนคูเวอร์)

15 ชั่วโมง
 เกาะ Cayman (เคย์แมน)

12 ชั่วโมง
ประเทศ
เร็วกว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
ช้ากว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
Italy (อิตาลี)

6 ชั่วโมง
Jamaica (จาไมก้า)

              12 ชั่วโมง
Japan (ญี่ปุ่น)

2 ชั่วโมง
Jordan (จอร์แดน)

5 ชั่วโมง
Kenya (เคนย่า)

4 ชั่วโมง
Kuwait (คูเวต)

4 ชั่วโมง
Lebanon (เลบานอน)

 5 ชั่วโมง
Malaysia (มาเลเซี่ย)
1 ชั่วโมง

Mexico (แม็กซิโก)

13 ชั่วโมง
Netherlands (เนเธอร์แลนด์)

 6 ชั่วโมง
New Zealand (นิว ซีแลนด์)
5 ชั่วโมง

Nigeria (ไนจีเรีย)

6 ชั่วโมง
Norway (นอร์เวย์)

6 ชั่วโมง
Pakistan (ปากีสถาน)

2 ชั่วโมง
Philipines (ฟิลิปปินส์)
 1 ชั่วโมง

Poland (โปแลนด์)

6 ชั่วโมง
Portugal (โปรตุเกต)

7 ชั่วโมง
Saudi Arabia (ซาอุ ดิ อาระเบีย)

4 ชั่วโมง
Singapore (สิงคโปร์)
1 ชั่วโมง

South Africa (แอฟริกาใต้)

5 ชั่วโมง
ประเทศ
เร็วกว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
ช้ากว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
Chile (ชิลี)

11 ชั่วโมง
China (จีน)
1 ชั่วโมง

Columbia (โคลัมเบีย)

12 ชั่วโมง
Congo (คองโก)

6 ชั่วโมง
Cuba (คิวบา)

6 ชั่วโมง
Cyprus (ไซปรัส)

5 ชั่วโมง
Czechoslovakia (สโลวาเกีย)

6 ชั่วโมง
Denmark (เดนมาร์ค)

6 ชั่วโมง
Egypt (อียิปต์)

5 ชั่วโมง
Ethiopia (เอธิโอเปีย)

4 ชั่วโมง
Finland (ฟินแลนด์)

5 ชั่วโมง
France (ฝรั่งเศส)

6 ชั่วโมง
Germany (เยอรมัน)

6 ชั่วโมง
Ghana (กาน่า)

ชั่วโมง
Greece (กรีซ)

5 ชั่วโมง
Greenland (กรีนแลนด์)

10 ชั่วโมง
Guatamala (กัวเตมาลา)

13 ชั่วโมง
Hawaii (ฮาวาย)

17 ชั่วโมง
Hong Kong (ฮ่องกง)
1 ชั่วโมง

Hungary (ฮังการี)

6 ชั่วโมง
Iceland (ไอซ์แลนด์)

7 ชั่วโมง
India (อินเดีย)

1 ชั่วโมงครึ่ง
Indonesia (อินโดนีเซีย)
0
0
ประเทศ
เร็วกว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
ช้ากว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
Spain (สเปน)

6 ชั่วโมง
Sri Lanka (ศรีลังกา)

1 ชั่วโมงครึ่ง
Sweden (สวีเดน)

6 ชั่วโมง
Switzerland (สวิสเซอร์แลนด์)

6 ชั่วโมง
Syria (ไซเรีย)

5 ชั่วโมง
Taiwan (ไต้หวัน)
1 ชั่วโมง

Trinidad & Tobago (ตรินิแดด และ โตเบโก)

11 ชั่วโมง
Turkey (ตรุกี)

5 ชั่วโมง
UK (สหราชอาณาจักร)

7 ชั่วโมง
Uruguay (อุรุกวัย)

10 ชั่วโมง
USA 


  รัฐ Atlanta , Boston (แอทแลนด์ต้า)

12 ชั่วโมง
  รัฐ Chicago , Dallas (ชิคาโก้)

13 ชั่วโมง
  รัฐ Los Angeles (ลอสแองเจอลิส)

15 ชั่วโมง
  รัฐ Sanfrancisco (ซานฟรานซิสโก)

15 ชั่วโมง
  รัฐ New York (นิวยอร์ค)

12 ชั่วโมง
  รัฐ Washinton (วอร์ชิงตัน)

12 ชั่วโมง
รัสเซีย


  เมือง Leningard (เลนินกราด)

4 ชั่วโมง
  เมือง Moscow (มอสโคว)

4 ชั่วโมง
 เมือง Vladivostock (วลาดิวอสต๊อก)
3 ชั่วโมง

Venezuela (เวเนซุเอลา)

               11 ชั่วโมง
Yugoslavia (ยูโกสลาเวีย)

6 ชั่วโมง
ประเทศ
เร็วกว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
ช้ากว่าเวลาประเทศไทย (ชั่วโมง)
Iran (อิหร่าน)

4 ชั่วโมงครึ่ง
Irish Republic (ไอร์แลนด์)

7 ชั่วโมง
Israel (อิสราเอล)

5 ชั่วโมง
Zambia  (แซมเบีย)

5 ชั่วโมง
 สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป.

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วีซ่าเชงเก็น

1. วีซ่าเชงเก็นคืออะไร?

ปัจจุบัน เขตเชงเก็นประกอบด้วยประเทศในยุโรป 26 ประเทศ ในจำนวนนี้มี 22 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้ง 26 ประเทศนี้มีนโยบายด้านวีซ่าร่วมกัน ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีการขอตรวจวีซ่าที่ชายแดนของแต่ละประเทศ
“ประเทศเชงเก็น” ทั้ง 26 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเชก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ลัตเวีย ลิธัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส สโลวัก สโลวีเนีย สเปน และสวีเดน และอีกสามประเทศนอกสหภาพยุโรปได้แก่ นอร์เว ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
บุคคลที่ได้รับวีซ่าเชงเก็นสำหรับประเทศที่กล่าวไว้ข้างต้น จะสามารถเดินทางได้โดยเสรีไปยัง 26 ประเทศเชงเก็น โดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับประเทศดังกล่าวแต่ละประเทศ

2. มีวีซ่าเชงเก็นประเภทใดบ้าง?

วีซ่าเชงเก็นมี 3 ประเภท ได้แก่:
  • วีซ่าพำนักระยะสั้น (ประเภท "C") วีซ่าประเภทนี้จะออกให้กับการเดินทาง 1 ครั้ง 2 ครั้งหรือหลายครั้ง โดยมีระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักแตกต่างกันออกไป แต่ไม่เกิน 3 เดือนในช่วงเวลา 6 เดือน   
  • วีซ่าเดินทางผ่าน (ประเภท "B") วีซ่าประเภทนี้จะออกให้กับบุคคลซึ่งเดินทางผ่านประเทศเชงเก็นประเทศใดประเทศหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งประเทศก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม วีซ่าประเภทนี้จะออกให้สำหรับการเดินทางผ่าน1 ครั้ง 2 ครั้งหรือมากกว่านั้นในกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ระยะเวลาในการเดินทางผ่านแต่ละครั้งจะต้องไม่เกิน 5 วัน
  • วีซ่าแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน (ประเภท "A") พลเมืองจากประเทศนอกเขตเชงเก็นบางประเทศที่ต้องการเดินทางโดยเครื่องบินไปยังประเทศที่สาม และต้องการแวะเปลี่ยนเครื่ิองที่สนามบินในเขตเชงเก็นจะต้องขอวีซ่าแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน
    ทั้งนี้ พลเมืองจากประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกประเทศเชงเก็นจะต้องใช้วีซ่าทั้งสามประเภทเหมือนกัน

3. ขอวีซ่าเชงเก็นได้ที่ไหน?

ท่านสามารถยื่นใบสมัครขอวีซ่าเชงเก็นได้จากสถานทูตของประเทศเชงเก็นใดก็ได้ในประเทศของท่าน หากท่านวางแผนเดินทางไปยังประเทศในยุโรปมากกว่า 1 ประเทศ ท่านสามารถยื่นใบสมัครขอวีซ่าจากสถานทูตประเทศที่ท่านวางแผนจะพำนักนานที่สุด ในกรณีที่ไม่ชัดเจนว่าท่านพำนักอยู่ในประเทศใดนานที่สุด ท่านสามารถยื่นใบสมัครขอวีซ่าเชงเก็นได้จากสถานทูตของประเทศที่ท่านจะเดินทางไปถึงเป็นประเทศแรก
4. ในการขอวีซ่าเชงเก็น จะต้องทำอย่างไรบ้าง?
ข้อกำหนดขั้นต่ำในการขอวีซ่าเชงเก็นมีดังนี้:
  • กรอกใบสมัครและลงนามในใบสมัครขอวีซ่า ซึ่งท่านสามารถดาวน์โหลดใบสมัครจากอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • ถือครองหนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าช่วงเวลาที่ท่านจะพำนักอยู่ในประเทศเชงเก็น
  • ระบุวัตถุประสงค์การเดินทาง
  • สามารถแสดงให้เห็นว่ามีทรัพย์สินเพียงพอต่อการใช้จ่ายในช่วงที่พำนัก
  • มีประกันภัยการเดินทางโดยมีวงเงินประกันอย่างน้อย 30,000 ยูโร

5. มีค่าธรรมเนียมในการยื่นขอวีซ่าเท่าไร?

ค่าธรรมเนียมสำหรับวีซ่าพำนักระยะสั้นอยู่ที่ 60 ยูโร อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมในบางกรณี 
สำหรับพลเมืองของประเทศนอกสหภาพยุโรปที่มีฐานะเป็นสมาชิกครอบครัวของพลเมืองสหภาพยุโรปหรือประเทศในความตกลงเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA Agreement) ที่ใช้สิทธิ์เดินทางโดยเสรี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
นอกจากนั้น ยังยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี นักเรียน นักศึกษาระดับปริญญาโทและครูผู้ติดตามที่เดินทางด้วยวัตถุประสงค์ทางการศึกษาหรืออบรม และนักวิจัยที่กำลังทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ตามที่นิยามไว้ใน Recommendation 2005/761/EC
ท่านสามารถติดต่อสถานทูตประเทศที่จะเดินทางไปเพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับรายนามสถานทูตประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปในภูมิภาค  สามารถดูได้จากลิงค์ “สถานทูต”
http://eeas.europa.eu/delegations/thailand/eu_travel/embassies/index_th.htm

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเตรียมตัวไปสนามบิน แบบไม่ต้องห่วงตกเครื่อง

เช็คเอกสารอีกครั้งวันก่อนบิน

เอกสารสำคัญ 4 อย่าง คือ ตั๋วเครื่องบิน พาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ เงินสดในสกุลต่างชาติ และเงินบาทติดกระเป๋า เมื่อตรวจเช็คแล้ว ควรวางรวมไว้ด้วยกัน ในกระเป๋าถือที่จะเอาไปด้วย

แลกเงินให้เสร็จสรรพก่อนวันเดินทาง

อย่าคาดหวังกับน้ำบ่อหน้า เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่า คิวแลกเงิน ณ สนามบินนั้นจะยาวแค่ไหน และค่าเงินจะขึ้น-ลงมากอีกเท่าใด และสำคัญที่สุด คือ หากเกิดเหตุการณ์ติดขัดใดๆ ก็ตามในช่วงเช็คอินหรือก่อนขึ้นเครื่อง คุณก็ยังอุ่นใจได้ว่า มีเงินค่าอาหารและค่ารถแน่นอน ยามไปถึงจุดหมายการเดินทาง

เผื่อเวลามาก่อนสัก 2 ชั่วโมง

เป็นหลักสากลที่พึงกระทำ สำหรับการเดินทาง คือ การมาก่อนเวลาสัก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะสนามบินนี้นั้นกว้างใหญ่มาก หากคุณดูป้ายผิด ไปผิดประตูทางออก คุณก็ยังมีเวลาเดินหาประตูที่ถูกต้อง และหากคุณเดินทางโดยใช้บริการของสนามบินดอนเมือง ก็อย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะหากคุณมีเรื่องติดขัดใดๆ คุณก็ยังมีเวลาแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน

เช็คอินล่วงหน้า

เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องต่อคิวนาน คุณสามารถเช็คอินออนไลน์ เช็คอินผ่านแอพลิเคชั่นมือถือ (Mobile Phone Application) หรือเช็คอินผ่านบูธบริการของสายการบินในห้างสรรพสินค้า ซึ่งบริการนี้ มีทั้งสายการบินชั้นนำและสายการบินต้นทุนต่ำ และหากคุณจำเป็นต้องไปเช็คอินที่สนามบิน สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนใดเลย คือ รีบไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน อย่าห่วงลาเพื่อนหรืออัพเดทสเตตัส

รีบกรอกแบบฟอร์มหรือเอกสารที่จำเป็น

เมื่อได้รับเอกสารใดมา ไม่ว่าจะเป็นใบของศุลกากรหรือตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม.) ขอให้รีบกรอกให้เสร็จ อย่าคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำ เพราะคุณอาจลืมและต้องมาลนลานยืนกรอก ในขณะที่ต้องวิ่งหาต่อแถวคิวที่สั้นที่สุด

สแกนพาสปอร์ตแทนเข้าคิวที่กองตรวจคนเข้าเมือง

สำหรับผู้ที่จะเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่จำเป็นต้องเข้าคิวที่ต.ม.เพื่อทำยื่นหนังสือเดินทางและเอกสารสำหรับเดินทางขาออกที่เคานท์เตอร์ต.ม.อีกต่อไป เพราะใกล้ๆ กับเคานท์เตอร์ต.ม. คุณสามารถใช้เครื่องสแกนพาสปอร์ตและยื่นเอกสารดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่ที่เครื่องสแกนได้ วิธีนี้เร็วกว่าการเข้าคิวติดต่อเจ้าหน้าที่ต.ม.แบบเดิมๆ  ไม่แน่ ในอนาคต สนามบินนานาชาติอย่างสนามบินดอนเมือง สนามบินภูเก็ต และสนามบินเชียงใหม่อาจมีเครื่องและบริการนี้ด้วยก็ได้

ดูเวลาบอร์ดดิ้ง ไทม์ (Boarding Time) และเบอร์เกท-ประตูทางขึ้นเครื่องบิน (Gate/Terminal Number)

ควรตั้งเวลา ไว้ในโทรศัพท์มือถือหรือนาฬิกาข้อมือ เพื่อเตือนล่วงหน้าสัก 30 นาที ในกรณีขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ 15 นาทีในกรณีสนามบินดอนเมือง หากไปผิดประตูทางออก หรือหลงลืมอะไร ก็ยังมีเวลาไปให้ทันประตูเครื่องปิด

เตรียมกระเป๋าหรือถุงผ้าแบบพับได้ ชนิดน้ำหนักเบาติดตัวไปด้วย

ในกรณีที่คุณวางแผนจะช้อปปิ้งประมาณหนึ่งในสนามบิน จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ห่วงหน้าพะวงหลัง กับข้าวของพะรุงพะรังหลายถุงที่เพิ่งซื้อ ใส่รวมกันในถุงผ้าใบนี้เลย เพื่อความสะดวกรวดเร็ว

เปิดห้องพักในโรงแรมที่ใกล้สนามบิน

ถ้าคุณมั่นใจว่า โอกาสตกเครื่องมีสูง เนื่องด้วยเวลาเครื่องบินออกเป็นเวลารุ่งสาง ช่วงรถติดหนัก หรือเวลาใดๆ ที่คุณไม่มั่นใจ และเป็นเที่ยวบินสำคัญมาก ขอแนะนำให้เปิดห้องพัก และนอนค้างคืนโรงแรมที่ใกล้ๆ สนามบินก่อนวันบิน เพื่อความสบายใจ

เตรียมตัวบินลัดฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยสำหรับคุณแม่มีลูกน้อยในท้อง

คุณกำลังเดินทางบินไปยังทริปในฝันที่ยุโรปที่คุณจองตั๋วไว้ปีกว่ามาแล้ว แต่ตอนนี้คุณมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีกคน...ในท้อง
อย่ากังวลใจไป คุณอาจจะยังบินได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณตั้งครรภ์ระยะไหนแล้ว
ปกติมีคำแนะนำว่าสตรีมีครรภ์ไม่ควรขึ้นบินก่อนช่วง 12 สัปดาห์ หรือช่วงหลังจาก 28 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ จากการวิจัยของวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ (Royal College of Obstetricians and Gynaecologists) พบว่า การเดินทางบนเครื่องบินไม่มีความเสี่ยงต่อหญิงมีครรภ์หรือลูกในครรภ์หากขึ้นบินในช่วงก่อนสัปดาห์ที่ 37 ของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ดีอาจเพิ่มโอกาสกระตุ้นให้เกิดการคลอด ดังนั้นการอยู่นิ่งๆ กับที่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากอาจจะเกิดปัญหาหรือความยุ่งยากในการคลอดกว่าหมื่นฟุตบนฟ้าได้อย่างชัดเจนแล้ว คุณอาจมีความเสี่ยงในการเกิดอาการเส้นเลือดขอดได้มากขึ้นด้วย

ก่อนเดินทาง

แต่หากคุณต้องกระโดดขึ้นเครื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลองนำเคล็ดลับในการเตรียมตัวเหล่านี้ไปใช้กับทริปคุณ
  • นำใบรับรองแพทย์ติดตัวไปด้วยเพื่อยืนยันว่าคุณสุขภาพแข็งแรงพอที่จะบินได้และจะไม่คลอดบนเครื่อง โดยเฉพาะตอนเครื่องบินบินผ่านกลางทะเลหรือทะเลทรายซาฮารา
  • โทรศัพท์หาสายการบินที่คุณจะโดยสารไปด้วยหรือตรวจสอบเว็บไซต์ของสายการบินนั้นเพื่อหาข้อมูลเพราะอาจมีกฎในการบินที่ต่างออกไป
  • มาเช็คอินก่อนเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้ที่นั่งที่ดี โดยที่นั่งที่กั้นระหว่างชั้นการบินจะเหมาะสำหรับหญิงมีครรภ์ที่ต้องการความสะดวกสบายเพิ่มสักหน่อยในการบิน และการมาเช็คอินก่อนเวลายังเพิ่มโอกาสให้คุณได้ที่นั่งนั้นก่อนครอบครัวอื่นจะมาถึง
  • หากทำได้ ให้คุณจองหรือขออัพเกรดที่นั่งเป็นชั้นประหยัดแบบพรีเมียมหรือชั้นธุรกิจ เพราะที่นั่งจะมีที่วางขามากกว่า เข้าออกก็สะดวก แม้จะต้องเสียเงินเพิ่ม แต่ก็คุ้มเพื่อลูกน้อยและตัวคุณเอง
  • อย่าลืมนำบัตรประกันสุขภาพติดตัวไปด้วย ติดตัวไปเสมอ เพราะอาจจะสามารถใช้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าประกันที่ทำไว้สำหรับการเดินทางครอบคลุมเดินทางไปที่ไหนบ้าง ระยะเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอ บริษัทประกันส่วนใหญ่จะยืนกรานว่าคุณแม่ในอนาคตจะต้องมีระยะเวลาเผื่อ 8 สัปดาห์ก่อนคลอดเมื่อเดินทางกลับ หลายบริษัทกำหนดเงื่อนไขว่าความคุ้มครองจะครอบคลุมถึงสัปดาห์ที่ 27 หรือ 28 ของการตั้งครรภ์เท่านั้น ติดต่อบริษัทของคุณเพื่อสอบถามเงื่อนไขเฉพาะและสิทธิ์ที่คุณอ้างได้จริงๆ และที่สำคัญมีเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น หรือเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออะไรสำหรับกรณีฉุกเฉินในระหว่างเดินทาง

ในระหว่างเที่ยวบิน

ดังนั้นหากคุณตรวจสอบกับสายการบิน บริษัทประกันและคุณหมอของคุณดีแล้ว คุณก็จะเดินทางบินได้อย่างสบายใจ แต่ก็ยังมีเคล็ดลับสองถึงสามข้อที่จะช่วยให้คุณบินอย่างสบายตัวขึ้นอีกด้วย
  • ลองลุกขึ้นและเดินไปรอบๆ เครื่องบินประมาณทุกๆ สองถึงสามชั่วโมง
  • อาจจะไม่ค่อยเป็นแฟชั่นนำสมัยนัก แต่การใส่ถุงเท้ากันเส้นเลือดขอดและรองเท้าแตะจะช่วยให้การบินไม่ลำบากยากจนเกินไปเพราะจะช่วยลดอาการเท้าบวมได้
  • นอนหลับให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
  • เตรียมขนมที่มีประโยชน์และน้ำปริมาณเยอะๆ สำหรับการเดินทางเนื่องจากคุณแม่ตั้งครรภ์มักจะเกิดอาการขาดน้ำได้
  • หลีกเลี่ยงชาและกาแฟเพราะจะไม่ช่วยอาการขาดน้ำของคุณเลย แถมในบางราย อาจจทำให้นอนหลับยากด้วย

หลังเครื่องจอด

เมื่อลงจอดอย่างปลอดภัย รับกระเป๋าเรียบร้อย และตรงดิ่งไปที่โรงแรมก่อนเดินทางท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ แต่อย่าลืมระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ทำตามเคล็ดลับที่มีประโยชน์มากๆ ด้านล่างนี้ในช่วงวันหยุดของคุณ
  • สวมหมวกและทาครีมกันแดดที่มีค่าปกป้องสูๆ ตลอดเวลาเพราะผิวหนังของคุณจะอ่อนไหวต่อแสงอาทิตย์มากกว่าเดิมในช่วงตั้งครรภ์ 
  • หลีกเลี่ยงบานาน่าโบ๊ต เจ็ตสกี การดำน้ำ หรือกิจกรรมทางน้ำใดๆ
  • นำสำเนารายละเอียดทางการแพทย์รวมทั้งนโยบายประกันภัยของคุณไปกับคุณด้วย
  • หารายชื่อหมอและโรงพยาบาลในท้องถิ่นไว้ รวมทั้งรายละเอียดสถานทูตพร้อมรายละเอียดติดต่อและเส้นทางเดินทางไว้ด้วย